ปวดตัว ขยับแทบไม่ได้เกือบเดือนเต็ม เกิดอะไรขึ้นกับเรากันแน่ ป่วยเป็นอะไร พบหมอหลายหน แต่สุดท้ายเป็นอะไรกันแน่นะ เราเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่จะเล่าให้ฟังยาว ๆ
เรื่องมันเริ่มตอนไหนกันนะ คงเป็นตอนที่เราตัดสินใจไปโรงพยาบาลเพราะอาเจียนติดกันสามวัน กินอะไรเข้าไปก็อาเจียนออกหมด
ส่วนเรื่องเป็นไข้กับเจ็บกล้ามเนื้อทั้งตัวกลับไม่ได้เป็นตัวกระตุ้นให้รีบไปหาหมอเลย เพราะมันเป็นเรื่องปกติมากหากว่าคุณหนีไปเที่ยวตะลุยแบบสมบุกสมบันติดกันเก้าวัน
องุ่น! เธออย่าให้ข้อมูลผิด ๆ สิ ทริปนี้สบายจะตาย นั่งรถไฟไทยชั้นหนึ่ง นอนบูทีกโฮเทลกลางเมือง เรียกรถผ่านแอป ไม่ก็เหมารถไปทุกที่ เอาไหนมาลำบาก!
#1 วันแรกไปหาหมอ
10 กันยายน 2024
คำถามแรกที่ถามหมอคือ ‘มันจะมีอะไรเกี่ยวกับสมองมั้ยคะ’
ที่ถามแบบนี้ก็เพราะจุดหมายปลายทางคือประเทศลาว ได้กินส้มตำหลวงพระบางของแท้น้ำปลาร้าดำข้นคลั่ก แหนม หมูทอด อาหารเวียดนาม ปิ้งย่างเกาหลี ไก่ย่าง และอีกหลายอย่าง ซึ่งเราที่ไม่กินปลาร้าและเลือกกินระดับสิบถือว่าเป็นการเปิดโลกและแปลกใหม่ ทั้งในเรื่องรสชาติและกลิ่นที่ค่อนข้างเข้มข้น เราไม่แน่ใจว่ามันมีโอกาสเจอกับพยาธิในอาหารเหล่านั้นหรือเปล่า กลัวว่ามันจะขึ้นสมองมั้ย

เดี๋ยวเพื่อนชาวลาวจะเข้าใจผิดว่าไปว่าอาหารเขาไม่ดี ส้มตำหลวงพระบางและอาหารอื่น ๆ ที่กินไปไม่ได้เป็นสาเหตุการป่วยนะ เราแค่ไม่ชินกับการกินปลาร้าเลยกังวลน่ะ
หมอถามว่าอ้วกพุ่งหรือเปล่า เราก็ถามหมอกลับไปว่า ‘อ้วกพุ่ง’ คืออะไร
อ้วกพุ่งคือการอาเจียนออกมาโดยเราไม่รู้ตัว แบบ…คุย ๆ อยู่หรือนั่งเฉย ๆ ก็อาเจียออกมาโดยที่ไม่มีสัญญาณหรืออาการคลื่นไส้แจ้งเตือนก่อน
เราตอบกลับไปว่า รู้ตัวทุกครั้งที่จะอาเจียนค่ะ เพราะรสชาติน้ำลายในปากมันเปลี่ยนไป ขมปี๋ จากนั้นก็วิ่ง 4×100 ไปห้องน้ำไม่เคยพลาด
หมอก็เลยบอกว่าไม่น่าเกี่ยวกับสมองนะ
ส่วนอาการอีกอย่างที่ปรากฏขึ้นพร้อมกับการอาเจียนก็คือเจ็บกล้ามเนื้อทุกครั้งที่ขยับตัว เจ็บเหมือนผิวหนังโดนร้อยด้ายแล้วกระชากออก ต้องนอนหงายตัวตรง มือสองข้างวางแนบลำตัว ไม่ขยับเท่านั้นถึงจะรอด เวลาจะลุกก็ต้องลุกตรง ๆ เอี้นวตัวไม่ได้ และมัน ‘เจ็บ’ ไม่ใช่แค่ ‘ปวด’
จากนั้นหมอก็ถามว่าช่วงที่ผ่านมาเราทำอะไรบ้าง พอบอกว่าไปเที่ยวมา หมอก็ลองกดคอบ่าไหล่เราแล้วก็บอกว่ามันแข็งปั่กเลยนะ โดยเฉพาะตรงไหปลาร้า แข็งเป็นก้อน ๆ คุณหมอจึงสรุปว่าเป็นกล้ามเนื้ออักเสบ
คุณหมอก็บ่นว่าทำไมคนไข้ถึงไม่ยอมกินข้าว ไม่งั้นมันไม่หายนะคะ ซึ่งเราก็ตอบไปตามตรงว่า เรากินแล้วแต่พอกินเข้าไปไม่นานก็อาเจียนออกมา ถึงได้มาให้หมอช่วยค่ะ

คุณหมอเลยช่วยด้วยการฉีดยาแก้คลื่นไส้อาเจียนไปหนึ่งเข็มเพื่อให้ไปกินข้าวได้เลย และเพิ่มเติมด้วยฉีดยาแก้ปวดอีกหนึ่งเข็มตามที่เราร้องขอเพราะระหว่างรอฉีดยาแก้คลื่นไส้เราเจ็บกล้ามเนื้อมากจนน้ำตาไหลพราก
ส่วนยากลับบ้าน ได้เป็นยาเม็ดแก้คลื่นไส้อาจเจียนเพื่อให้กินอาหารได้ตามปกติ ยาคลายกล้ามเนื้อ และได้ยานวดคล้ายกับเคาน์เตอร์เพน (คนละยี่ห้อ) มานวดคอบ่าไหล่อีกหนึ่งหลอด
ถ้าถามว่าอาเจียนหนักแค่ไหน ก็แค่สัปดาห์เดียวน้ำหนักหายไป 7 กิโลฯ เท่านั้นเอง~~~ กินแล้วอาเจียนจนหมดกระเพาะเลย
#2 หาหมอครั้งที่สอง
ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ เราก็กลับมาหาหมออีกครั้ง เพราะแม้จะกินอาหารได้ด้วยความช่วยเหลือจากยา แต่อาการเจ็บกล้ามเนื้อไม่ได้ทุเลาลง ยังเจ็บแปลบทุกครั้งที่ขยับ เราแทบไม่ได้ทำอะไรนอกจากนอนและนอน วัน ๆ เอาแต่นอน งานการก็แทบไม่ได้ทำ ห้องก็เริ่มรก (ก็ปกตินี่)
จากที่คาดหวังว่าการไปหาหมอครั้งแรกจะช่วยให้ร่างกายหายทันกำหนดการพักผ่อนประจำปี ซึ่งหมายถึงการหนีเที่ยวคนเดียวหนึ่งสัปดาห์ มันกลับไม่ค่อยดีเท่าไร แผนพักผ่อนก็ต้องยกเลิกไป โธ่ ทริปตะลุยดื่มกาแฟที่เวียดนามเจ็ดวันของช้านนนน~ แต่ก็ช่วยไม่ได้ ร่างแหลกขนาดลุกเดินตัวเปล่ายังลำบาก แล้วจะไปยกกระเป๋าเดินทางยังทำไม่ได้เลย
การนวดยาคลายกล้ามเนื้อตรงคอบ่าไหล่ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาเผยให้เห็นว่าตรงนั้นมีก้อนแข็ง ๆ ยาวเท่านิ้วหัวแม่โป้ง 1 ก้อน ซึ่งสัปดาห์ต่อมาถึงได้รู้ว่ามันเป็นสองก้อนต่อกันต่างหาก
การหาหมอครั้งที่สองนี้เป็นจุดเปลี่ยนเลยก็ว่าได้ หมอวินิจฉัยว่าเป็น ‘กล้ามเนื้ออักเสบ’ ใช่ค่ะ คำตอบเดียวคำตอบบเดิม ได้ยาเหมือนเดิม แถมยังจับโป๊ะได้ว่าหมอก๊อปรายชื่อยาครั้งก่อนมาแบบไม่ได้เช็ก เพราะมันมียาฉีดแก้คลื่นไส้ติดมาด้วย เพิ่มเติมคือคำพูดของหมอที่ว่า…ถ้าอยากได้ยาฉีดแก้ปวดก็ต้องไปเอกชนนะ
เราถามไปว่าทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้เลยเหรอคะ หมอก็ตอบกลับมาว่า งั้นก็นัดกายภาพบำบัดแล้วกัน ซึ่งคิวก็ค่อนข้างนาน ประมาณ 1 เดือนเห็นจะได้
จบ!
ถ้าถามว่าอาการอาเจียนลดลงมั้ย ก็ต้องว่าลดลงนะ อาจเป็นเพราะได้ยาเม็ดแก้อาเจียนมาช่วย แต่ว่าสัปดาห์นี้น้ำหนักก็ลดอีก 3 กิโลฯ
#3 ช็อกเวฟและฝังเข็ม
สัปดหาก์ที่สาม เรามุ่งหน้าสู่เส้นทางกายภาพทางเลือก เพราะไม่อาจทนรอนัดทำกายภาพจากหมอคนที่ 2 ได้ เราจะไม่รอ! อยากจะหายไว ๆ กลับมาทำสิ่งต่าง ๆ ได้ปกติเหมือนเดิมเสียที
เอาละ เราเลือกไปเวย์ของออฟฟิศซินโดรมทันที เริ่มด้วย Shockwave ซึ่งสรุปสั้น ๆ ได้ความว่า เป็นการรักษาด้วยคลื่นกระแทก ยิงคลื่นกระแทกไปยังจุดที่เราเจ็บกล้ามเนื้ออยู่แล้ว เพื่อกระตุ้นให้กล้ามเนื้อเยียวยาตัวเองจากความเจ็บปวดครั้งใหม่ แน่นอนว่าความเจ็บครั้งก่อนก็จะได้รับการเยียวยาไปพร้อม ๆ กันด้วย
ในการทำ Shockwave เจ้าหน้าที่จะประเมินก่อนว่าเราเจ็บกล้ามเนื้อมัดไหนส่วนไหนบ้างด้วยการให้ยกแขนทำท่าต่าง ๆ จากนั้นก็จะแจ้งว่ากล้ามเนื้อส่วนไหนบ้างที่บาดเจ็บ แน่นอนว่าต้องมาเป็นรูปประกอบ เพราะเราจำชื่อไม่ได้

จากรูปจะเห็นว่ากล้ามเนื้อตรงคอบ่าไหล่ยาวไปถึงหัวมีปัญหา อีแถบสีฟ้านั่นแหละค่ะคุณ ซึ่งเราจะ Shockwave กันตรงกล้ามเนื้อส่วนนี้ แค่เห็นรูปอีกรอบก็เจ็บจี๊ดขึ้นมาเลยค่ะ โดยเฉพาะไอ้ส่วนที่พาดตั้งแต่หัวลงมาถึงหลัง!
ผลการ Shockwave รู้สึกว่าการยกแขนทำได้ง่ายมากขึ้นค่ะ แต่ก็ไม่ได้สุดทางอยู่ดี เพราะต้องรอเวลาให้กล้ามเนื้อได้มีการฟื้นตัวอีกสักระยะ ยังมีอาการเจ็บอยู่เมื่อเคลื่อนไหวมากเกินไป แน่นอนว่ายังต้องนอนหงายตัวตรง วางแขนแนบลำตัว
แพทย์ทางเลือกอีกอย่างที่ลองก็คือการฝังเข็ม เนื่องจากเพื่อนเราเป็นออฟฟิศซินโดรมและฝังเข็มที่โรงพยาบาลหัวเฉียวอยู่แล้ว เลยแนะนำให้เราไปลอง ราคาก็ไม่แรงด้วย ขึ้นอยู่กับจำนวนเข็มที่ฝัง ซึ่งพื้นฐานแล้วเราจ่ายครั้งละ 800 บาท ยกเว้นสองสามครั้งหลังที่โดนฝังจัดเต็มสองรอบหน้าหลัง โดนไปประมาณ 1,400 บาท

การฝั่งเข็มจะทำโดยแพทย์แผนจีน ตอนโดนเข็มนี่ไม่รู้สึกเจ็บนะ เมื่อฝังเข็มครบจำนวนและกำหนดเวลาแล้ว หมอก็จะมาเอาเข็มออก และตามด้วยการครอบแก้วตามจุดที่ฝั่งเข็มเพื่อคลายกล้ามเนื้อ ไอ้รอยแดงกลม ๆ นั่นแหละคือการครอบแก้ว แก้วจะถูกอุ่นให้อุ่น ๆ ก่อนวางบนหลังเรา ทิ้งไว้สักพักแล้วเอาออก บอกเลยว่าฟินมาก เห็นแดง ๆ แบบนี้คือไม่เจ็บ ไม่ปวดนะคะ
ผลการฝังเข็มและครอบแก้วค่อนข้างน่าพอใจ เรารู้สึกว่าเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น
แต่ว่ามีสิ่งหนึ่งที่เราทำไม่ได้เลยนับตั้งแต่เจ็บกล้ามเนื้อก็คือ เราไม่เคยจะก้มหัวเลยเวลาขึ้นลงรถ ศีรษะโขกขอบประตูโป๊กตลอดดดดดด~ เหมือนสัญขาตญาณการเอาชีวิตรอดมันหยุดลงเสียดื้อ ๆ
ถ้าถามว่าตอนนั้นยอมใช้กล้ามเนื้ออันแสนเจ็บปวดไปกับอะไร คงบอกได้คำเดียวว่าการสระผม ทุกครั้งที่สระผมคือความทรมานมากที่สุด แต่ต้องทำ แล้วผมก็ยาวมากด้วยสิ กว่าจะเสร็จก็เล่นเอาน่วมไปเลย! โอเค เราจะไปตัดผมให้สั้นลงหลังจากหายดีแล้ว!
น้ำหนักยังคงลดลงต่อเนื่อง สัปดาห์นี้ลดไปอีก 3 กิโลฯ รวมแล้ว 13 กิโลฯ แต่สาเหตุไม่ใช่เพราะอาเจียนแล้วนะ ยากันไม่ให้คลื่นไส้อาเจียนช่วยได้มากจริง ๆ ส่วนสาเหตุจริง ๆ ก็อาจเป็นเพราะเรากินได้น้อยลงมาก วันหนึ่งเรากินข้าวแค่สองมื้อ เช้าเย็น ขนมก็ไม่อยากกิน กาแฟก็ไม่อยากดื่ม ไม่อยากอะไรเลย แค่อยากนอนเฉย ๆ เท่านั้น
#4 สัญญาณจากร่างกาย
แต่…สุดท้ายแล้วเราก็บอกลาการฝังเข็มอยู่ดี เพราะไปสัปดาห์ละ 2 ครั้งทำเอากระเป๋าฉีก
เหตุผลหลักอีกอย่างก็คือ การฝังเข็มก็ไม่ตอบโจทย์ทั้งหมด เพราะ ณ ตอนนี้ เรารู้สึกว่าตัวเองไร้เรี่ยวแรง กินข้าวได้ก็จริง แต่ก็ไม่ได้เยอะ หมดแรงมาก เหมือนซอมบี้ที่เคลื่อนไหวไปมาได้อย่างเชื่องช้า
เรารู้สึกเหนื่อยและท้อมาก เลยเก็บกระเป๋าไปเข้าแคมป์บ้านพี่ที่รักกันคนหนึ่ง ขอไปพักใจสักสัปดาห์ ซึ่งปกติแล้วองุ่นไปบ้านพี่เขาเป็นประจำอยู่แล้วค่ะ ไปทำกับข้าวกินกัน ดูซีรีส์ เม้ากัน ขั้นต่ำ ๆ ก็สามวันถึงห้าวัน
แต่ครั้งนี้เราไปอยู่เกือบสองสัปดาห์ ไม่ได้ทำกับข้าวอร่อยกิน โดนป้ายยาซีรีส์จีน พาขึ้นกำแพงเมืองจีนซะด้วย แต่ด้วยความที่ปวดตัว ไม่มีแรง ก็ดูไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก เอาแต่หลับ

และนี่คือสิ่งที่พี่เราทำให้ ยาสำหรับคนเป็นกล้ามเนื้ออักเสบจากโรงพยาบาลแรก ตอนแรกมันก็อยู่ในซอง แต่เราไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการกินยา กว่าจะหาจะหยิบ พี่เขาเลยจัดใส่กล่องยาให้หยิบง่าย ๆ ขอบคุณค่า~
อยู่บ้านพี่ไปหลายวัน กิน นอน และนอน จนรู้สึกว่าควรขยับร่างกายบ้างแล้วละ แต่พอลองออกกำลังกายเบา ๆ ออกไปเดินนอกบ้าน กลับกลายเป็นว่าร่างกายยิ่งแย่ลง เหมือนกล้ามเนื้อทำงานเกินกำลัง แล้วไม่อยากขยับอีก เดินไม่มั่นคงหนักกว่าเดิม จนต้องหยุดการเดินเล่นในหมู่บ้านไป
มันไม่โอเคเลยสักนิด เราร้องไห้เพราะอยากหายจากอาการเหล่านี้เสียที อยากกลับมาดีด มาแอ็กทีฟ อยากจะไปวิ่งเล่นแล้ว เราเป็นอะไรก็ไม่รู้…ทำไมมันไม่หายเสียที!
‘เมื่อคุณร้องขอ ร่างกายก็ตอบสนอง’
มื้อเย็นวันหนึ่ง เรา พี่ และสามีพี่เขา นั่งกินข้าวด้วยกัน สามีพี่ทักว่าตาซ้ายองุ่นแปลก ๆ นะ เหมือนตาเยิ้ม ๆ ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรกัน คิดแค่ว่า…สงสัยนอนดึก ดูซีรีส์ยาว ๆ มั้ง
จากนั้นค่ำวันหนึ่งที่บ้านพี่เขา… เราก็รินน้ำใส่แก้ว แต่น้ำมันไม่ลงแก้วน่ะสิ มันถูกเทลงห่างไปเป็นคืบจากแก้ว ทั้งที่เราเล็งแล้วนะ เห็นว่ามันตรงปากแก้วแน่ ๆ ตอนนั้นเราคิดว่าอาจเพราะความซุ่มซ่ามเอง
แน่นอนว่าร่างกายเราไม่ยอมปล่อยไปง่าย ๆ มันก็ดื้อเหมือนเรานั่นแหละ คุณเดาไม่ออกหรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป เพราะเราก็เดาไม่ออกเหมือนกัน
เช้ามาสัญญาที่ชัดเจนที่สุดก็มาเยี่ยมเยียน!
เราตื่นมาพบว่า ตาซ้ายเข ตาดำขยับเข้าข้างในชนิดที่ยืนห่างกันห้าเมตรยังเห็นเลยว่ามันผิดปกติเพราะโดนทักมาแล้ว ส่วนภาพที่เห็นผ่านตาซ้ายก็บิดเอียงไปหมด!
และนั่นก็ทำให้เราต้องไปหาหมออีกครั้ง!

ไม่ได้ถ่ายรูปตาวันนั้นเอาไว้ เอารูปตอนไปวันแอดมิตให้ดูแทนแล้วกันนะคะ เทียบกับวันที่ยังปกติดอยู่
เมื่อสัญญาญชัดเจนและหมอใส่ใจ
เรากลับไปโรงพยาบาลเดิมเป็นครั้งที่ 4 ทุกครั้งที่มาก็คือเจอหมอคนใหม่ทุกครั้งเนื่องจากยังเป็นอาการทั่วไป ไม่ได้หาหมอเฉพาะทาง และไม่ได้ไปวันเดิม ๆ ครั้งนี้เราถือว่าตัวเองโชคดีมาก เมื่อคุณเจอคุณหมอที่ใส่ใจ เราก็แทบร้องไห้ออกมา
เมื่อนั่งลงตรงเก้าอี้สำหรับคนไข้ในห้องตรวจ คุณหมอถามทันทีว่า ‘ตาซ้ายเป็นอะไรคะ ทำไมต้องหลับตาตลอด’
เราต้องหลับตาซ้ายที่มันเขเอาไว้ หากมองจากภายนอกจะเห็นว่าตามันเข แต่สำหรับเราผู้เป็นเจ้าของดวงตา กลับรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในโลกอันบิดเบี้ยว ซี่งหมายความตรงตัว สิ่งที่เห็นผ่านตาซ้ายบิดเบี้ยวจริง ๆ ไม่ก็เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง มีภาพลวงตาโผล่มาให้เห็น คือถ้าเจอผีก็ไม่รู้หรอกเพราะจะคิดไปว่าเป็นภาพลวงตาทั้งนั้น และการจะเดินหรือใช้ชีวิตได้ปกติก็คือการหลับตาซ้ายและเปิดเพียงตาขวาเพียงข้างเดียว
เมื่อตาซ้ายมีปัญหา โลกเลยเทไปทางขวา คืนหนึ่งเราตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อเข้าห้องน้ำ เมื่อทำธุระเสร็จแล้ว เราก็เดินจากห้องน้ำซึ่งอยู่ด่านซ้ายมือ ซึ่งหากเดินตรงไปก็จะเจอกับข้างเตียง องุ่นเดินตรงไปท่ามกลางความมืด แต่แล้วก็ชนเข้ากับเครื่องฟอกอากาศซึ่งวางอยู่ทางขวามือของห้องตรงปลายเตียง
เรารู้ทันทีว่านี่มันไม่ใช่แล้ว เพราะเราเดินจากมุมห้องฝั่งซ้ายไปยังมุมห้องฝั่งขวาโดยไม่รู้ตัว เราเดินเฉียงไปยังมุมห้องตรงกันข้าม โดยที่สติคิดว่าตัวเองเดินเป็นเส้นตรง มันแย่กว่าการเห็นภาพลวงตาและภาพเคลื่อนไหว
ดังนั้นเมื่อคุณหมอถามว่าทำไมต้องหลับตาซ้ายในวินาทีที่พบกัน เราเลยดีใจเป็นที่สุดว่าคุณหมอสังเกตเห็นด้วย
คุณหมอตรวจการมองเห็น ให้มองตามนิ้วไปทางซ้ายขวา ขึ้นและลง ให้ใช้นิ้วแตะนิ้วหมอ ฟังเหมือนง่ายใช่มั้ยล่ะ แต่เราทำไม่ได้ เรายื่นนิ้วไปหานิ้วหมอก็จริง แต่สุดท้ายแล้วมันก็อยู่ห่างกันเป็นโยชน์เลย
คุณหมอซักถามประวัติอื่น ๆ เพิ่มเติม แต่เรื่องที่ทำให้ปวดใจมากที่สุดก็คือ คุณหมอถามว่ามาหาหมอที่นี่หลายครั้งแล้วเหรอคะ เพราะประวัติการรักษาที่บันทึกไว้มันค่อนข้างสั้น ดังนั้นคุณหมอเลยต้องถามกลับไปยังจุดเริ่มต้นเมื่อเดือนกันยาฯ ช่วงที่ปวดตัวใหม่
คุณหมอทำใบส่งตัวไป CT Scan ที่โรงพยาบาลตามสิทธิ์ประกันสุขภาพทั่วหน้า พร้อมทั้งเน้นย้ำว่ารีบไปนะ ไปวันนี้พรุ่งนี้เลยนะ
และนี่คือจุดเปลี่ยนของชีวิตอีกครั้ง…
ติดตามต่อที่ #2 ในหัวของคุณมีอะไร… CTscan สิ แล้วจะรู้













