สำหรับเราแล้ว Gaslighting ถือเป็นอีกหนึ่งการกระทำชั่วร้ายที่สุดที่คนคนหนึ่งจะทำกับอีกคนได้ เพราะมันไม่ได้เพียงแค่ควบคุม แต่ยังเป็นการทำลายตัวตนของอีกฝ่ายด้วย

เพราะ Gaslighting มันทำร้ายตัวตนของอีกฝ่ายอย่างรุนแรงโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ร้ายแรงขนาดที่อาจทำให้คนคนนั้นเสียความเป็นตัวเองไป ไม่อาจควบคุมชีวิตตัวเองได้เลย เราจึงมองว่าพฤติกรรมนี้ช่างร้ายกาจ โหดร้าย และน่าสะอิดสะเอียนเป็นที่สุด 

พฤติกรรม Gaslighting มีให้เห็นอยู่ทั่วไป มีมากจนชินตาเลยละ แต่คุณอาจไม่รู้ว่าสิ่งนั่นคือ Gaslighting ก็เป็นได้ ซึ่งเราก็เพิ่งมารู้ว่าพฤติกรรมแบบนี้มีคำเรียกเฉพาะก็เมื่อไม่นานมานี้เองค่ะ แต่ก่อนเราเรียกว่า ‘การปั่นหัว’ ซึ่งความหมายก็กว้างไปหน่อย แต่คำว่า Gaslighting นี้ให้นิยามได้ตรงจุดตรงประเด็นมากกว่า 

Gaslighting มีความหมายอย่างไร

Gaslight หรือ Gaslighting คือการล้างสมองให้อีกฝ่ายสูญเสียความมั่นใจ ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกและยอมรับว่าไร้ความสามารถและด้อยค่า เพื่อจะได้ชักจูงให้ทำตามได้โดยง่าย เป็นการเพิ่มอำนาจในการควบคุมโดยลดทอนคุณค่าในตัวเองของอีกฝ่าย เพราะยิ่งอีกฝ่ายอ่อนแอจนไม่มั่นใจ จนไม่อาจตัดสินใจอะไรได้ การเข้าควบคุมก็ยิ่งง่ายเท่านั้น

นอกจากทำให้อีกฝ่ายสูญเสียความมั่นใจในตัวเองแล้ว อีกอย่างที่ทำให้ Gaslighting ร้ายกาจเป็นพิเศษก็คือ… Gaslighting จะถูกทำแบบแนบเนียนมากจนอีกฝ่ายไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังเจอการปั่นหัว เจอการทำร้ายทางอารมณ์ เจอกับ Toxic relationship อยู่น่ะสิ 

ประเภทของ Gaslighting และพฤติกรรมคำพูดปั่นหัว

Gaslighting มีหลายประเภท แบ่งตามวิธีการและคำพูดที่ใช้หลอกหล่อเรา ซึ่งมันดูไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่ายเช่นกัน เอาเป็นว่าถ้าเจอการกระทำแบบนี้ คำพูดแบบนี้ ให้หยุดพิจารณาสิ่งรอบตัวสักครู่นะคะ อย่าเพิ่งหลงไปการปั่นหัวเหล่านั้น

  • โกหกบิดเบือนความจริง ใช่แล้ว เขาจะปาคำโกหกใส่คุณซึ่งหน้าเลยละ หรือจะบอกว่าพวกเขาจะบ่ายเบี่ยงไม่ยอมรับความจริงตรงหน้าก็ได้เช่นกันค่ะ พวกเขาจะบอกว่าคุณสร้างเรื่องเหล่านั้นขึ้นมาเอง และต่อให้มีหลักฐานว่าคุณไม่ผิดเลยสักนิด พวกเขาก็ยังยืนยันว่าคุณผิดอยู่ดี คำพูดที่เจอบ่อย ๆ ก็คือ เรื่องนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเสียหน่อย หรือคุณนั่นแหละคิดไปเอง
  • ทำให้คุณตัวเล็กลงด้วยการทำให้ทุกสิ่งกลายเป็นเรื่องไม่สำคัญ เป็นเรื่องเล็ก ๆ ที่น่าเบื่อ ไม่ว่าจะความคิด ความคิดเห็น หรือแม้แต่ความรู้สึกของคุณ ทำให้คุณรู้สึกไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ทำอยู่มันถูกต้องมั้ย ทำให้คุณไม่สามารถยืนหยัดต่อสู้เพื่อตัวเองได้ เมื่อคุณรู้สึกตัวเล็กลง ไร้ความสำคัญ หรือไร้ค่า การควบคุมคุณก็จะง่ายขึ้น คุณน่าจะเดาออกกันใช่มั้ยว่าพวกเขาจะพูดคำว่าอะไรออกจากปากบ้าง… เรื่องแค่นี้เอง ทำไมต้องคิดมากด้วย งานง่าย ๆ ก็ทำไม่ได้อีกเหรอ
  • โบ้ยความผิด พวกเขาจะไม่ยอมให้คุณเป็นฝ่ายถูกแม้ว่าความจริงแล้วคุณเป็นฝ่ายถูกก็ตาม ดังนั้นคำที่มักจะได้ยินบ่อย ๆ ก็คือ เธอจำผิดหรือเปล่า เพราะเธอนั่นแหละฉันเลยต้องทำแบบนี้
  • ใช้คำพูดเห็นอกเห็นใจเป็นอาวุธ บางครั้งพวกเขาอาจใช้คำพูดเห็นอกเห็นใจหรือแสนหวานเพื่อทำให้คุณตายใจ แต่ระวังให้ดี พวกเขาจะใช้วิธีนี้ก็ตอนที่คุณเริ่มรู้ตัวว่าโดนปั่นหัวอยู่ เมื่อคุณเริ่มเรียกร้องความเป็นธรรม พวกเขาอาจใช้คำพูดเหล่านี้… เธอคิดว่าเราจะทำร้ายเธอจริง ๆ เหรอ รู้ใช่มั้ยว่าเรารักเธอแค่ไหน แน่นอนว่าพวกเขาพูดแบบนี้ก็เพื่อเอาตัวรอด เบี่ยงเบนความสนใจของคุณจากปัญหาแท้จริงตรงหน้า 
  • เปลี่ยนเรื่องราวใหม่ พวกเขาจะพยายามประวิงเวลาในการคุยเรื่องสำคัญหรือปัญหาที่เกิดขึ้น พยายามเปลี่ยนเรื่องราวเหล่านั้นให้เป็นไปตามที่พวกเขาต้องการ อาจใส่รายละเอียดเล็ก ๆ ที่คุณมองข้ามไป หรืออาจโทษว่าคุณความจำไม่ดีแล้วก็ฉวยโอกาสเปลี่ยนเนื้อเรื่องใหม่เสีย 

อ่านแล้วก็รู้สึกเหมือนได้ยินคำพวกนี้บ่อย ๆ เลยใช่มั้ยล่ะ ใช่ค่ะ Gaslight อยู่ใกล้ตัวมากกว่าที่คุณคิด 

ทำไม Gaslighting ถึงได้ผล

รู้หรือไม่ว่าต่อให้คุณฉลาดทันคนแค่ไหน คุณก็อาจตกหลุมพรางของพฤติกรรม Gaslighting ได้ ทำไมมันถึงได้ผลน่ะเหรอ ก็เพราะว่าเหยื่อผู้โดนกระทำไม่รู้ตัวว่ากำลังโดน Gaslighting อยู่น่ะสิ

เนื่องจาก Gaslighting มักเกิดจากคนใกล้ตัว คนที่คุณไว้ใจ เมื่อคุณเชื่อในตัวอีกฝ่าย คุณก็เปิดใจรับฟังความคิดเห็นของพวกเขา และนั่นแหละคือประตูสู่การควบคุมจิตใจ

อย่าเพิ่งคิดว่าคุณเป็นคนฉลาดมี Self-estem หรือ self-awareness สูงแล้วจะรอดนะ เพราะอย่างที่บอกว่า Gaslighting มันคือการล้างสมองทีละนิด ค่อย ๆ ทำให้อีกฝ่ายเชื่อและทำตามที่คนบงการต้องการ

Gaslighting มันจะค่อย ๆ กัดกินตัวตนของคุณทีละน้อยเหมือนสนิมที่กัดกร่อนเหล็กอันแข็งแกร่งนั่นแหละ กว่าคุณจะรู้ตัวว่าอีกฝ่ายใช้ความเชื่อใจนี้กลับมาเล่นงานคุณก็อาจสายไปเสียแล้ว

Gaslighting เกิดได้ในทุกความสัมพันธ์นะคะ ไม่ใช่เพียงแค่ในเรื่องของความรักเท่านั้น ความสัมพันธ์ฉันเพื่อน ครอบครัว และการทำงานก็เกิดขึ้นได้เช่นกันค่ะ

จัดการกับ Gaslighting ยังไง

เมื่อรู้สึกว่าโดน Gaslighting แล้ว รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลย ไม่กล้าตัดสินใจอะไร รู้สึกสูญเสียอำนาจในการควบคุม เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ จนต้องพึ่งพาให้อีกฝ่ายตัดสินใจให้ ทำอะไรก็ผิดไปหมด ก็ขอให้คุณลองทำตามนี้

  • ตั้งสติ 
  • แยกและระบุให้ชัดเจนว่าพวกคุณมีปัญหาอะไรกันแน่ 
  • หาหลักฐานยืนยันว่าคุณไม่ผิด แม้อีกฝ่ายจะไม่ยอมรับก็ตาม 
  • ขอความคิดเห็นจากคนรอบข้าง ให้พวกเขายืนยันความคิดของคุณ ว่าคุณไม่ได้คิดไปเอง ว่าคุณไม่ได้เป็นฝ่ายผิดตามที่อีกฝ่ายต้องการ เพื่อเรียกความมั่นใจในตัวเองกลับมา
  • ออกจากความสัมพันธ์บ้า ๆ นั่นซะ หากอีกฝ่ายใจร้ายกับคุณ ก็ไม่มีประโยชน์ที่คุณจะทนอยู่กับ Toxic people ที่เป็นต้นเหตุทำให้ความสัมพันธ์เป็นพิษ 

เพิ่มเติมอีกนิด! ทำไมถึงเรียกพฤติกรรมนี้ว่า Gaslighting น่ะเหรอ คำคำนี้เกิดขึ้นจากภาพยนตร์ชื่อเดียวกันที่ภายในปี 1944  

เรื่องราวของหญิงสาวไร้เดียงสาผู้ร่ำรวย ถูกสามี Gaslighting เพื่อหวังฮุบมรดกก้อนโตของเธอ

เขาวางแผนว่าจะทำให้เธอเป็นบ้าก่อนจะส่งเธอไปยังอยู่โรงพยาบาลบ้า ซึ่งฉากสำคัญของเรื่องอันเป็นที่มาของคำว่า Gaslight ซึ่งเป็นชื่อเรื่องก็คือ…

ฉากที่ฝ่ายชายหรี่ไฟลงทีละน้อยให้ห้องค่อย ๆ มืดลงวันละเล็กวันละน้อย เมื่อหญิงสาวถามว่าเขาปรับแสงไฟลงเหรอ เขาก็ยืนยันว่าไม่ได้ทำ แล้วพ่วงด้วยการทำให้เธอเชื่อว่าเธอน่ะคิดไปเอง เธอมีอาการผิดปกติ จนเธอเชื่อเขาแล้วสุดท้ายเธอก็บ้าจริงตามที่เขาต้องการ เพราะเธอรู้สึกว่าไม่อาจเชื่อตัวเองได้อีกต่อไป

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

<a href="" title=""> <abbr title=""> <acronym title=""> <b> <blockquote cite=""> <cite> <code> <del datetime=""> <em> <i> <q cite=""> <s> <strike> <strong>